มนุษย์ต่างแสวงหาความคิดสร้างสรรค์กันไปทั่ว ไม่ว่าจะหน่วยงานใด ทั้งของภาครัฐ เอกชน และองค์กรประชาชน ต่างค้นหาความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาและเพื่อการค้นพบใหม่ๆ ด้วยการคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ จึงเสนอบทความที่ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ อันจักนำไปใช้ประโยชน์ทางสังคมอย่างกว้างขวางต่อไป
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เกรียวกราวพอสมควรชื่อว่า
Parallel thinking หรือแปลเป็นไทยว่า”ความคิดคู่ขนาน ของ Dr’ Edward de Bono ออกวางตลาด
ต่อจากนั้น ดูเหมือนจะได้รับข่าวคราวเสมอเกี่ยวกับ การจะพัฒนาความคิดความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร
? มีการอบรมเรื่องของ mind mapping เพื่อสังเคราะห์ไอเดียต่างๆ ทำให้เห็นภาพว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวในเรื่องนี้กันพอสมควร สำหรับความเรียงชิ้นนี้ เรียบเรียงขึ้นมาจากและความคิดของผู้เขียน
และจากบทความหลายชิ้นของ Melvin D. Saunders อย่างเช่น Improving Your Creative Thinking
Skills, Creativity and Creative Thinking, How creative thinking technique works,
Ways to kill and ways to help an idea เป็นต้น ซึ่ง Saunders เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีผลงานทางด้านนี้
ซึ่งจะกระตุ้นให้เรากล้าคิดในหนทางที่แตกต่าง เช่น การใช้ความคิดจากมุมองที่ต่างออกไป
คิดแบบทำลายกฎเกณฑ์เก่าๆ คิดแบบเล่นๆ หรือใช้จินตนาการทุกชนิดเพื่อทำให้เกิดความเป็นไปได้
และเขายังเสนอหนทางที่จะได้มาซึ่ง ความคิดหรือไอเดียใหม่ๆ อย่างเช่น ใช้วิธีการสุ่มต่างๆ
เช่น การสุ่มด้วยภาพ การสุ่มด้วยคำ หรือกระทั่งการสุ่มด้วย website (ลองเปิด website
ที่ไม่เคยคิดว่าจะเปิดดูมาก่อน) รวมไปถึงการนำเอาไอเดียตั้งแต่สองไอเดีย ที่ไม่เคยรวมกันมาก่อน
มาสังเคราะห์เข้าด้วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของการได้มาซึ่งความคิดสร้างสรรค์
เราจะปรับปรุงทักษะความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร ?
…กล่าวกันว่า ความคิดสร้างสรรค์และการค้นหาวิธีการแก้ปัญหา เป็นกิจกรรมสองอย่างที่เกี่ยวแขนไปกันไป. หลายปีมาแล้ว Dr. Edward de Bono, นักจิตวิทยา และนักค้นคว้าทางการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ส่งเสริมเรื่องของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า lateral thinking (ความคิดข้างเคียง).
ความคิดแนวตั้ง(verticle thinking)
จะปฏิบัติการต่อเมื่อเราพยายามที่จะแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยเริ่มต้นจาก ขั้นตอนทางตรรกะขั้นหนึ่งไปสู่ขั้นตอนต่อไปเพื่อบรรลุผลของการแก้ปัญหา.
ส่วนความคิดข้างเคียง(lateral thinking)นั้น จะวาดภาพ แบบแผนทางความคิดซึ่งมากับการค้นหาวิธีการแก้ปัญหาโดยการที่ไม่เป็นไปตามวิธีการเดิมๆ(unorthodox
methods) หรือการเล่นเกมส์กับข้อมูล. …การขยายความสามารถทางสมองหรือการใช้ความคิดด้วยความคิดสร้างสรรค์
สามารถปรับปรุงขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติ. ยกตัวอย่างเช่น เราจะใช้ไม้ขีดไฟ 6 ก้านบนโต๊ะ
สร้างสามเหลี่ยมที่มีด้านสี่ด้านเท่ากันได้อย่างไร? หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างหนักและไม่ประสบผลสำเร็จในลักษณะสองมิติ
ในไม่ช้าเราก็จะเรียนรู้ว่า การทำให้มันเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าสี่ด้านในรูปสามมิติ
เป็นหนทางเดียวที่บรรลุผลสำเร็จได้. ดังนั้น จงหัดคิดแบบเถื่อนๆ(think wild)เสียบ้าง.
ความหมายของคำว่าคิดแบบเถื่อนๆมิได้หมายความว่าป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม แต่มีนัยะว่าให้เราใช้จินตนาการทุกชนิดของความเป็นไปได้
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ imagine all kinds of possibility และหาหนทางอีกทางหนึ่ง(alternative)มาแก้ปัญหา,
รวมไปถึงสิ่งที่เราคิดว่ามันทำไม่ได้หรือน่าหัวเราะด้วย. ยกตัวอย่างเช่น พยายามคิดถึงความตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นปกติเท่าที่คิดขึ้นมาได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
จากนั้นก็ลงมือทำมันอย่างจริงจังและประณีต นอกจากนี้ ในหลายๆสถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้า
หรือในที่ประชุม…ถ้าเผื่อว่าเรามีความเห็นอย่างหนึ่ง และอีกคนมีความเห็นตรงข้ามกันกับเรา,
ให้เราพยายามจินตภาพถึงความคิดเห็นของคนๆนั้นดูทีในเชิงกลับกัน. จดบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า
ทำไมความเห็นของเขาจึงใช้การได้; ต่อจากนั้นลองบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมความคิดเห็นของเขาจึงใช้การไม่ได้;
และในท้ายที่สุด จดบันทึกถึงสิ่งที่ไม่เข้าประเด็นหรือสอดคล้อง. ผู้คนเป็นจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบากโดยการไม่ลงรอยกันในการอธิบาย,
การกล่าวหากัน และการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง, แทนที่จะ ควบคุมความคิดของพวกเขาต่อการกระทำ
และการตัดสินใจว่าอะไรสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว. เราเคยทราบไหมว่า…มากกว่าครึ่งหนึ่งของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ถูกทำขึ้นมาโดยผ่าน”การค้นพบโดยบังเอิญ”
(serendipity) หรือการค้นพบบางสิ่งขณะที่กำลังค้นหาบางสิ่งอยู่; และให้จำไว้ว่า, สิ่งนี้ได้ทำให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์
ตระหนักถึงโอกาสอันหนึ่ง เมื่อมันเสนอตัวของมันเองออกมา. ในภาวะฉุกเฉิน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะตกอกตกใจหรือบ้าคลั่ง
แทนที่จะใช้หัวสมองเพื่อกำหนดตัดสินใจถึงทางเลือกต่างๆของพวกเขา. สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดหนึ่งของคนเราซึ่งควรแก้ไขให้ถูกต้องก็คือ
…ผู้คนส่วนใหญ่มักยึดถือความคิดเห็น หรือทัศนะต่างๆของตนเอาไว้ ทั้งนี้เพราะ พวกเขาได้ถูกบล๊อคเอาไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกหรือเหตุผลในเชิงอคติต่างๆ.
การที่เราจะขยับขยายแนวคิดของเราออกไปให้กว้างขวางเพื่อคลุมถึงความคิดเห็นในทางตรงข้ามจากจุดยืนของเรา,
บ่อยครั้งจะต้องปลดเปลื้องพันธนาการจากการถูกบล๊อคเช่นนี้ให้ได้และให้เร็ว(ลบอคติออก
และไม่ใช้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเป็นพันธนาการ). ขณะที่สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มนำโลกไปสู่อาชญากรรม,
การติดยาเสพติด และการมีหนี้สิน, ญี่ปุ่นกลับมีอาชญากรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ค่อยมีผู้ติดยาเสพติด
, มีความสามารถที่จะชำระหน ี้และเป็นชาติที่มีการศึกษาในโลก. เราคิดกันไหมว่า เหตุผลต่างๆในเชิงอคติและอารมณ์ความรู้สึกทำให้ทางการสหรัฐบล๊อคตนเองจากการเรียนรู้จากตัวอย่างของญี่ปุ่น
หรือมันมีเหตุผลอื่นๆหรือ ? …พอพูดกันมาถึงตรงนี้ ลองทดลองกับเพื่อนของเราที่มีสมมุติฐานหรือความเห็นในเชิงตรงข้าม
เพื่อดูว่ามันนำพาเราไป ณ ที่ใด. เปิดใจของเราให้กว้างและคิดแบบเถื่อนๆ.
การคิดแบบวิภาษวิธี และการคิดด้วยสมองซีกขวา
นอกจากการใช้ความคิดในแบบข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีการในการปรับปรุงทักษะของการใช้ความคิดสร้างสรรค์อีก 2 วิธี ซึ่งอาจนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเรื่องราว เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ต่างๆได้คือ การคิดแบบวิภาษวิธี และ การคิดด้วยสมองซีกขวา
อันแรก, เป็นการคิดในแบบวิภาษวิธี(dialectic)
ซึ่งมีโครงสร้างแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ ข้อสรุปเดิม(thesis), การต่อต้านข้อสรุปเดิม(anti-thesis),
และการสังเคราะห์ข้อสรุปเก่ากับใหม่(synthesis). ในที่นี้จะลองยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ
ชาวประมงคนหนึ่งใช้วิธีการจับปลาแต่เดิมๆมาตลอด แต่ตอนนี้เขามีครอบครัวและมีคนที่ต้องเลี้ยงดูเพิ่มขึ้น
การจับปลาในแบบเดิมๆจึงไม่พอกิน จะทำอย่างไรถึงจะพอกิน. ออกไปหาปลาไกลขึ้นหรือ-เรือก็เล็กเกินไป
แทนที่จะจับปลาก็เป็นการปล่อยปลาแทน จับแล้วนำมาปล่อยในกระชังเลี้ยงดู ดังนั้นเขาจึงได้ปลาเพิ่มขึ้น
อันที่สอง, การคิดด้วยสมองซีกขวา.
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองส่วนบนของคนเรา ซึ่งตามปกติแล้ว สมองในส่วนซีกซ้ายจะทำหน้าที่ครอบงำสมองส่วนซีกขวาอยู่ตลอดเวลา
จนกล่าวได้ว่า เรามีโอกาสใช้สมอง ซึ่งทรงประสิทธิภาพของคนเราเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะนับแต่สังคมได้มาถึงยุคแห่งการใช้เหตุผล (สมองซีกซ้าย), สมองที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการและอารมณ์ความรู้สึก(สมองซีกขวา)เกือบจะไม่ถูกนำมาใช้เลย
เพื่อคิดแบบสร้างสรรค์ หรือคิดแก้ปัญหาต่างๆ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการทำงานของสมองส่วนบนทั้งสองซีก(ซ้ายและขวา)ว่า
มันทำงานแตกต่างกันอย่างไร? เพื่อว่าเราจะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการใช้ความคิดสร้างสรรค์
สมองซีกซ้าย 1.เป็นเรื่องของสติปัญญาแบบเหตุผล, 2.เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข, 3.เป็นการคิดแบบนามธรรม, 4.คิดเป็นเส้นตรง, 5.เป็นเรื่องของการวิเคราะห, 6.ไม่เกี่ยวกับ้จินตนาการ, 7.คิดแบบต่อเนื่องตามลำดับ, 8.เป็นเรื่องของวัตถุวิสัย, 9.เกี่ยวข้องกับคำพูด
สมองซีกขวา 1. เป็นเรื่องของสหัชญาน(ไม่เกี่ยวกับเหตุผล) 2.เป็นเรื่องของการอุปมาอุปมัย, 3.เป็นการคิดแบบรูปธรรม, 4. คิดอิสระไม่เป็นเส้นตรง, เห็นภาพทั้งหมด, 5.เป็นเรื่องของการสังเคราะห์, 6.ใช้จินตนาการ, 7. คิดไม่เป็นไปตามลำดับ มีความหลากหลายดชื่อมต่อหลายมุม, 8.เป็นเรื่องของอัตวิสัย, 9.ไม่เกี่ยวกับคำพูด, เห็นเป็นภาพ
แม้ว่าจากการจำแนกจะเห็นว่า สมองส่วนบนซีกซ้ายและขวาจะมีลักษณะที่ตรงข้ามกัน
แต่ความจริงแล้วมันเสริมกัน เพื่อให้ความคิดของเราสมบูรณ์มากขึ้น แทนที่จะใช้ความคิดหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
ดังนั้น การคิดด้วยสมองซีกขวา จึงเป็นการคิดในแบบที่มาเสริมหรือช่วยให้เราคิดได้มากขึ้น
อะไรคือการสร้างสรรค์ ?
การสร้างสรรค์คือ การทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา
ซึ่งบางสิ่งนั้นไม่เคยทีอยู่มาก่อน, ทั้งผลผลิตอันหนึ่ง, หรือกระบวนการอันหนึ่งหรือความคิด-ไอเดียอันหนึ่ง. อะไรบ้างที่จัดอยู่ในข่ายของการสร้างสรรค์. ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่มามาก่อนให้มีขึ้นมา.
การประดิษฐ์สิ่งซึ่งมีอยู่ใน ณ ที่ไหนที่ใดสักแห่งหนึ่งแต่เราไม่รู้ว่ามีมันอยู่แล้ว.
การคิดค้นกระบวนการใหม่อันหนึ่งขึ้นมาเพื่อกระทำบางสิ่งบางอย่าง. การประยุกต์กระบวนการที่มีอยู่
หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วเข้าสู่ความต้องการอีกครั้ง. การพัฒนาวิธีการใหม่อันหนึ่งเกี่ยวกับการมองไปยังบางสิ่งบางอย่าง.
การนำมาซึ่งไอเดียหรือความคิดใหม่ ทำให้มันดำรงอยู่ หรือมีอยู่ขึ้นมาเปลี่ยนแปลงวิธีการมองของใครคนใดคนหนึ่งที่มองบางสิ่งบางอย่างไป พวกเราทั้งหลายต่างก็สร้างสรรค์กันทุกวัน เพราะเราเปลี่ยนแปลงไอเดียหรือความคิดซึ่งเรายึดถือเกี่ยวกับโลกรอบตัวเราต่างๆอยู่เสมอ.
การสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ถึงขนาดการพัฒนาบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาให้กับโลก
แต่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับพัฒนาการบางสิ่งบางอย่างให้ใหม่ขึ้นมาเล็กๆน้อยๆเพื่อตัวของเราเอง.
เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวของเราเอง, โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับเรา ทั้งการที่โลกได้รับผลกระทบโดยการกระทำที่เป็นการเปลี่ยนแปลงของเรา
และในวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เราได้มีประสบการณ์กับโลก. ความคิดสร้างสรรค์จึงมีความหมายที่ค่อนข้างกว้าง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับการผลิตสินค้า
การสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ กระบวนการที่คิดขึ้นมา และการบริการที่ดีขึ้น. เราคาดหวังกันว่า
การสร้างสรรค์นั้นจะช่วยเราในหลายๆด้าน, เช่น องค์กรของเราดีขึ้น, ลูกค้า หรือคนที่รับบริการจากเรามีความสุขมากขึ้น
โดยผ่านการปรับปรุงขึ้นมาใหม่นี้ในด้านคุณภาพและปริมาณที่ผลิตออกมา
อะไรคือความคิดสร้างสรรค์ ?
ความคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการอันหนึ่ง ซึ่งเราใช้เมื่อเรามีไอเดียใหม่ๆ.
มันเป็นการผสมผสานเของไอเดีย หรือความคิดต่างๆซึ่งไม่เคยผสมรวมตัวกันมาก่อน. การระดมสมอง(brainstorming)
เป็นรูปแบบหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์: มันทำงานโดยการรวบรวมไอเดียต่างๆที่กู่ก้องดังออกมาโดยใครบางคน
ผสมรวมกันกับของเราเพื่อสรรค์สร้างไอเดียใหม่อันหนึ่ง. คุณได้ใช้ประโยชน์ไอเดียนั้นของคนอื่นในฐานะแรงกระตุ้น.
ไอเดียใหม่ต่างๆได้รับการก่อตัวขึ้นมา โดยการผสมรวมตัวของไอเดียที่มีอยู่ในใจเรา กับไอเดียที่ดังขึ้นของคนอื่น โดยไม่มีการใช้เทคนิคพิเศษใดๆ ความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงเกิดขึ้นมา
แต่โดยปกติแล้ว มันจะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ; ความบังเอิญหรือโอกาสที่เกิดขึ้น ทำให้เราคิดถึงบางสิ่งบางอย่างในหนทางที่แตกต่าง
และเราได้ค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์. ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างมันเกิดขึ้นมาอย่างช้าๆโดยผ่านการใช้ความคิดสติปัญญาอันบริสุทธิ์และความก้าวหน้าเชิงตรรก.
การอาศัยความก้าวหน้าโดยความบังเอิญหรือในเชิงตรรก หลายครั้ง ต้องใช้เวลานานมากสำหรับการผลิตเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุง ดังนั้น การใช้เทคนิควิธีพิเศษ, ความคิดสร้างสรรค์อันละเอียดอ่อนประณีตสามารถถูกนำมาใช้ได้เพื่อพัฒนาไอเดียใหม่ๆ.
เทคนิคดังกล่าวจะช่วยทำให้ หรือไปบังคับให้เกิดลำดับการณ์อันกว้างขวางของการผสมผสานไอเดีย
เพื่อจุดประกายความคิดใหม่ๆและกระบวนการใหม่ๆ. การระดมสมองเป็นหนึ่งในเทคนิคพิเศษเหล่านี้
แต่ตามขนบประเพณี แล้ว มันจะเริ่มต้นด้วยไอเดียที่ไม่ธรรมดา(start with un-original
ideas). ด้วยปฏิบัติการ, ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง(การค้นหาอยู่เสมอ,
การตั้งคำถาม และการวิเคราะห์ ที่พัฒนาได้โดยผ่านการศึกษา, การฝึกฝนและการรู้ตัวของเราเอง)
ได้เกิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา. ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง(ongoing creative thinking)ทำให้
ทั้งความบังเอิญและความคิดสร้างสรรค์ที่ตั้งอกตั้งใจเกิดขึ้นมาได้มากที่สุด. ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องต้องใช้เวลา
และปฏิบัติการอย่างใจจดใจจ่อเพื่อกลายมาเป็นทักษะที่สมบูรณ์ และในไม่ช้า ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง
ก็จะกลายมาเป็นท่าที ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคอีกต่อไป
ทำอย่างไร เทคนิคความคิดสร้างสรรค์จึงจะทำงาน ?
ไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้นมา เมื่อมีไอเดียตั้งแต่สองไอเดียขึ้นไปบังเอิญหรือตั้งใจให้มันมาผสมกัน
อย่างที่มันไม่เคยรวมตัวกันมาก่อน. เทคนิคการใช้ความคิดสร้างสรรค์จะเป็นการจัดหาวิธีการเพื่อรวมไอเดียทั้งหลายเข้าด้วยกันอย่างประณีต
ซึ่งตามปกติ เราไม่เคยคิดข้ามไอเดียพวกนั้นมาก่อนหรือคิดถึงมันว่าจะเป็นไปได้. แต่อย่างไรก็ตาม
ความยุ่งยากประการแรกที่เกิดขึ้นมาก็คือ จะหาทางให้ไอเดียนั้นๆผสมกันได้อย่างไร. และข้อยุ่งยากประการที่สองคือจะพัฒนาไอเดียใหม่นั้นให้มันใช้การได้ได้อย่างไร ข้อยุ่งยากประการแรกจะถูกช่วยเหลือได้ โดยการใช้เทคนิคความคิดสร้างสรรค์อย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อมุ่งทำให้ไอเดียใหม่เหล่านั้นมันผสมกันได้.
การที่คอมพิวเตอร์มิได้รับอิทธิพลใดๆจากมนุษย์, มันจึงเป็นเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์สำหรับการจัดหาไอเดียต่างๆซึ่งเราไม่เคยคิดผสมกันมาก่อน
มารวมมันเข้าด้วยกัน. เทคนิคความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อน้อมนำไอเดียต่างๆซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้คิดรวมกัน
เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดของตนเองเกี่ยวกับประสบการณ์บนโลกนี้กันทุกคน และมนุษย์มีเงื่อนไขความตีบตันด้วย
การะดมสมองในอดีตทำให้เราเชื่อมั่นว่า คนอื่นๆก็เพียงพอแล้วสำหรับการกระตุ้นสนับสนุนเราให้คิดในหนทางที่แตกต่าง.
แต่อันที่จริงนั้นยังไม่พอ และสามารถทำให้เราต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับความคิดต้นตออันนั้น.
หรือถ้าเผื่อว่า เราระดมสมองกับผู้คนที่เราทำงานด้วยเสมอๆ เป็นไปได้ที่เราจะได้ไอเดียเก่าๆ
ทั้งนี้เพราะเรารู้แล้วเกี่ยวกับ…และทำงานร่วมกับไอเดียเดิมๆมากมายและก็มีประสบการณ์ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันมากไป.
ดังนั้น การระดมสมองแบบแผนเดิมจึงเป็นไปได้ที่เราจะไม่ได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ กับคนเดิมๆที่ทำงานร่วมกัน
และแต่ละคนก็มีแรงกระตุ้นแบบเดิมๆเป็นข้อจำกัด. นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับความก้าวหน้าในการระดมสมอง:
คอมพิวเตอร์จะไม่มีแนวคิดล่วงหน้า(not have the pre-conceptions) หรือมีอคติ ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ
ในฐานะนักจัดหาหรือเตรียมการเกี่ยวกับแรงกระตุ้นใหม่ๆ ที่แตกต่างและจะจุดประกายไอเดียใหม่ๆให้ปะทุขึ้นมา
แม้ว่าไอเดียใหม่ๆมันจะไม่มีคุณค่าขึ้นมาทันทีในเวลานี้
แต่การเกิดขึ้นมาของความคิดใหม่เป็นสิ่งสำคัญในการระดมสมองพวกนั้น ถ้าเราเก็บเอาไว้
มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อมาได้ในภายหลัง หากว่ามันมีคุณค่าสำหรับเราจริงๆ.
อะไรคือเทคนิคความคิดสร้างสรรค์ ที่จะนำมาใช้ได้บ้าง ?
เทคนิคการได้มาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ข้างล่างนี้ เราจะต้องฝึกเอาไว้เสมอ
ทั้งหมดนี้จะนำเสนอแรงกระตุ้นใหม่ๆสดๆให้กับความคิดใหม่ๆของเราได้. เราสามารถที่จะนำมันมาใช้ในการระดมสมองเพื่อให้กำเนิดไอเดียที่แปลแตกต่างอย่างง่ายๆ Random Word (การสุ่มคำ)
Random Picture (การสุ่มด้วยภาพ) False Rules (กฎเกณฑ์ที่ผิดพลาด) Random Website (การสุ่มเวบไซท์) Scamper (กระโดดโลดเต้น หรือการเล่น) Search & Reapply (ค้นหาและลองประยุกต์ใหม่) Challenge Facts (ท้าทายข้อเท็จจริง) Escape (หลบหนี หลบเลี่ยง) Analogy (การอุปมาอุปมัย) Wishful Thinking (ความคิดให้สมปรารถนา)
Thesaurus (ใช้พจนานุกรมศัพท์คำพ้อง)
วิธีการฆ่าความคิดและวิธีการส่งเสริมความคิด
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะฆ่าความคิดยิ่งกว่าการสนับสนุนความคิด
และเปลี่ยนมันให้เป็นทางออก หรือวิธีการแก้ปัญหาอันเป็นประโยชน์. ให้เราระมัดระวังอย่าไปทำลายไอเดียของผู้คน
หรือทำให้พวกเขาหยุดที่จะบอกอะไรกับเรา และพูดคุยกับคนอื่นๆ เป็นเรื่องยากมากจริงๆที่จะรับฟังเรื่องเกี่ยวกับไอเดียความคิดเห็นต่างๆ
เมื่อใครบางคนบอกกับเราเกี่ยวกับความคิดอันหนึ่งที่เขามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าไอเดียอันนั้นดูเหมือนว่าจะฟังดูโง่ๆและไม่ทำงาน(ไม่ได้เรื่อง).
แต่จำไว้เสมอว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนไม่ปรารถนาที่จะนำเสนอไอเดียที่เลวๆในภาวะปกติ
และเราควรจะพยายามทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกเลยว่า ทำไมพวกเขาจึงบอกกับเราเกี่ยวกับความคิดอันนั้น.
เป็นไปได้ที่บางสิ่งบางอย่างในไอเดียนั้น จะเป็นประโยชน์กับเรา. และในอีกทางหนึ่ง เราจะมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเขาให้เข้าใจว่า
ทำไมความคิดอันนั้นมันจึงไม่ทำงาน.
วิธีการหาไอเดีย ด้วยคำพูดของเราเองบางอย่าง
ที่เสนอมานั้นมันเป็นความคิดที่ดี, แต่…, (หรือ)
ในทางทฤษฎีนั้นมันฟังดูดี, แต่… ในทางปฏิบัติ, ความคิดนั้นมันดูเป็นเรื่องของอนาคตมากเกินไป โอ้...ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการ(ชอบ)มันหรอก ที่เสนอมานั้น ต้นทุนสูงเกินไป (หรือ) ไม่มีงบประมาณแล้ว,บางทีอาจรอไปปีหน้า ไม่ต้องเริ่มต้นอะไรใหม่อีกแล้ว (หรือ) เราโต้เถียงกันมากไปแล้ว ที่พูดมามันต้องศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ (หรือ)
เรื่องนี้ขอให้เราไปสำรวจมาก่อน อันนี้สวนกันกับนโยบายบริษัท(หรือ องค์กร)ของเรา ที่พูดมานั้น มันไม่ได้เป็นงานในหน้าที่รับผิดชอบของคุณ นั่นมันไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เรื่องนี้ยากมากต่อการจัดการ (หรือ) เราไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย ถ้ามันดีมาก ทำไมจึงไม่มีใครเสนอมันไปแล้วล่ะ ถึงต่อไปข้างหน้า ผู้คนก็จะยังไม่พร้อมสำหรับมันอยู่ดี นั่งลงก่อน พักสักครู่ มีใครแล้วบ้างที่พยายามทำมันจนสำเร็จขึ้นมา เราเคยทำมาแล้ว แต่มันไม่ทำงาน(ไม่ได้เรื่อง) คำพูดต่างๆเหล่านี้ มักจะไปตัดทอนโอกาสในการแสดงความคิดหรือการเสนอไอเดียของคนอื่นๆ
ซึ่งไม่ทำให้เกิดบรรยากาศของการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ดังนั้น จงตรองดูว่า สิ่งที่จะพูดไปนั้น
จะไปตัดทอนความคิดหรือไอเดียของคนอื่นหรือไม่ ?
หนทางที่สนับสนุนไอเดีย
-
ใช่, และ…(พูดสนับสนุน), ดูมันน่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก
-
ฟังและพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมมันจึงถูกนำเสนอ
-
อย่าไปขัดจังหวะ จนกว่าเขาจะเสนอจนจบ, ปล่อยให้พวกเขาก่อรูปไอเดียขึ้นมา
-
นั่นเป็นไอเดียที่ดี หรือประเด็นสำคัญ ข้อคิดเห็นที่เยี่ยม, ว่าต่อ…
-
ยอดมาก, พยายามต่อไป…
-
ต้องการทรัพยากรใดบ้าง ที่ต้องใช้ในการทำมันขึ้นมา
-
ที่เสนอมา เราสามารถทำให้มันทำงานได้อย่างไร ช่วยเล่าให้ฟังต่อหน่อยซิ
-
ให้พยายามและทดสอบมันดู
-
ที่เสนอมานั้น ทำให้มันเป็นแผนในเชิงปฏิบัติเลยได้ไหม ?
-
อะไรที่ผมสามารถช่วยได้สำหรับการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้
-
สิ่งที่ฟังดูเป็นเพียงส่วนเล็กๆของไอเดีย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีในสถานการณ์ปัจจุบัน
-
ทำอย่างไร เราจึงจะชักจูงคนอื่นๆให้เชื่อมั่นได้
ข้างต้นนี้หวังว่า เราจะเห็นถึงหนทางต่างๆอันมากมายซึ่งสามารถที่จะช่วยสร้างไอเดียความคิดขึ้นมา. สิ่งเหล่านี้เป็นการส่งเสริมสนับสนุนไอเดียความคิด โดยไม่ต้องกล่าวคำว่าเห็นด้วย หรือว่าเราจะทำมัน เพียงแต่ระมัดระวังอยู่เสมอสำหรับตัวของเราเองที่จะเสนอไอเดียอันหนึ่งลงมาเร็วเกินไป โดยไม่เข้าใจเหตุผลในเชิงบวกต่างๆสำหรับการที่มันถูกนำเสนอ
ไอเดียเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรยากาศในการระดมสมอง
เนื้อที่ส่วนนี้อุทิศให้กับบรรยากาศในการระดมสมองที่ช่วยให้ความคิดใหม่ๆผุดขึ้นมาได้
ทดลองเอาไปปฏิบัติ และดูว่ามันทำงานไหม หรือไม่ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการระดมสมองที่เราเคยทำๆกัน ใช้วิดีโอเทปหรือเครื่องบันทึกเสียง(ไม่โจ่งแจ้งเกินไปจนทำให้รู้สึกเกร็ง)เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ
เพื่อไม่ให้ไอเดียใดหลุดรอดไปได้. หรี่ไฟลงเพื่อให้บรรยากาศในห้องทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหรือเป็นการพักผ่อน มีตุ๊กตาหรือของเล่นที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นไอเดียและทำให้พวกเรารู้สึกผ่อนคลาย ใช้ห้องที่อยู่นอกสำนักงานที่เราทำงานประจำเพื่อผลที่จะเกิดมาพิเศษใหม่ๆ มีห้องเตียมไว้อีกห้องเพื่อฟื้นความสดใหม่ขึ้นมา
และส่งเสริมให้ผู้คนได้พบปะและพูดคุยกันในช่วงพัก ปิดสายโทรศัพท์หรือเคลื่อนย้ายมันออกไปจากห้อง จะได้ไม่มีอะไรมารบกวนหรือทำลายบรรยากาศ ปิดม่านลง หากว่าข้างนอกมันมีสิ่งรบกวนทำให้เขวไปได้ เปิดเพลงเบาๆที่กระตุ้นอารมณ์ หรือลองสุ่มเพลงจาก
CD สักสองแผ่น จัดให้มีหนังสือพิมพ์เก่า เทปกาว กรรไกร เชือก เพื่อว่าใครที่มีไอเดียจะทดลองสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา
ตามที่เขาคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง มีดินสอสี หรือปากกาเมจิกอยู่ทั่วๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ได้ทันที สร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดการหัวเราะ บรรยากาศแบบเล่นๆ
มักก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆอยู่เสมอ ให้ผู้คนยืนบ้างนั่งบ้างตามความสะดวกสบาย หรือถ้าเคยนั่งประชุมก็ยืนประชุม หันหน้าออกนอกกำแพงแทนที่จะหันหน้าเข้าหากำแพง
การสร้างบรรยากศใหม่ๆข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า สไตล์การระดมสมองและเทคนิคดังกล่าว สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงไปได้ เพื่อทำให้มันมีชีวิตชีวา การระดมสมอง ไม่ควรเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ หรือมีรูปแบบตายตัว ลองเปลี่ยนแปลงมันไปเรื่อยๆแล้วดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง