เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องทางเลือกเชิงนโยบายการร่วมจ่ายค่าบริการ 30 บาทต่อครั้งของการใช้บริการ
นายวิทยา กล่าวว่า การร่วมจ่าย 30 บาทในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ เมื่อปี 2544 แต่ก็ได้มีการยกเว้นบางกลุ่มไว้ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนยากจน เป็นต้น แต่ต่อมาในปี 2549 ได้มีการยกเลิกการร่วมจ่ายทั้งหมด อย่างไรก็ตามการร่วมจ่ายค่าบริการยังคงมีประโยชน์เพื่อปรับพฤติกรรมของผู้รับบริการ และสามารถสร้างคุณค่าของการรับบริการได้ ซึ่งรัฐบาลนี้มีนโยบายในการร่วมจ่าย 30 บาท เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างการมีส่วนร่วมและความรู้สึกเป็นเจ้าของของประชาชนในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เป็นมาตรการในการกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนักและร่วมมือในการดูแลตนอง รวมทั้งรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง เป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพของหน่วยบริการในระบบ และเงินรายได้จากการร่วมจ่ายสามารถนำมาใช้ในการปรับคุณภาพการบริการ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของเงินร่วมจ่ายและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางการร่วมจ่าย 30 บาทนั้น คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2555 นี้ โดยมีการร่วมจ่ายกรณีที่ประชาชนไปใช้บริการและได้รับยาเท่านั้น หากไม่มีการสั่งยาก็ไม่ต้องร่วมจ่าย จะยกเว้น คนยากจน(จากฐานข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย) และผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล ทั้งนี้หน่วยบริการจะมีเงินรายได้จากการร่วมจ่ายคาดว่าปีละ 2,000 ล้านบาท โดยในอนาคต จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพปฐมภูมิ หรือการสนับสนุนค่าตอบแทนบุคลากรเป็นต้น
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มที่ต้องร่วมจ่าย 23 ล้านคน และอีก 24 ล้านคนเป็นกลุ่มยกเว้นการร่วมจ่าย ซึ่งรพ.สามารถนำไปใช้พัฒนาคุณภาพบริการเพื่อกลับมาตอบสนองตามความต้องการของประชาชนได้ เช่น การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ หรือนำไปจ่ายค่าตอบแทนเพื่อเพิ่มคุณภาพบริการให้กับประชาชน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าตอบแทนตามภาระงานที่เพิ่มขึ้น
นายวิทยากล่าวว่า สำหรับคุณภาพที่ประชาชนจะได้รับจากบริการที่ดีขึ้นได้แก่ ประการแรก ระบบฉุกเฉินสามารถรับบริการที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน และไม่ถูกถามสิทธิ์ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 ประการที่ 2.การเปลี่ยนหน่วยบริการกรณีย้ายภูมิลำเนาจะง่ายขึ้นจากเดิมที่เปลี่ยนได้ปีละ 2 ครั้ง จะปรับให้มีการเปลี่ยนได้มากขึ้น เป็น 4 ครั้ง ประการที่ 3. ประชาชนจะได้รับบริการตามนโยบายรับบริการได้ทั้งวัน ซึ่งหน่วยบริการทั่วประเทศจะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้า บ่าย โดยเริ่มที่ รพ.ทั่วไป รพ.ศูนย์ รพ.ในสังกัดอื่นๆ เช่น รพ.มหาวิทยาลัย เป็นต้น เพื่อลดความแออัดของการบริการ ขณะเดียวกัน ประชาชนสามารถขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำในพื้นที่ได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยใช้บัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น
ที่มา http://www.nhso.go.th/FrontEnd/NewsInformationDetail.aspx?newsid=NDE0